Any act often repeated soon forms a habit; and habit allowed, steadily gains in strength. At first it may be as a spider’s web, easily broken through, but if not resisted, it soon binds us with chains of steel. – Tryon Edwards
มีคำกล่าวว่าสิ่งที่เราทำเป็นนิสัย จะบ่งบอกถึงอนาคตของเราได้ เช่น ถ้านักเรียนมีนิสัยขยันหมั่นเพียร เราก็พอทำนายว่าผลการเรียนจะออกมาดี หรือถ้ามีนิสัยชอบกินเค้กกินไอศครีม โอกาสที่จะมีไขมันส่วนเกินก็ไม่น่าเกินความคาดหมายไป
แต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ต่างจากสัตว์อื่น คือ ความสามารถในเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ซึ่งรวมถึงการสร้างนิสัยใหม่ด้วย (more…)
ปกติเมื่อเราตั้งเป้าหมายแล้ว หลายๆครั้งเมื่อทำไม่ได้แล้วก็บั่นทอนกำลังใจ ทำให้ไม่ได้สามารถทำได้อย่างที่ตั้ง
ผมไปอ่านเจอเทคนิคการตั้งเป้าหมายของ Jack Canfield ผู้แต่งหนังสือ Chicken Soup for the Soul
โดย Jack เรียกวิธีการนี้ว่า MTO เป็นตัวย่อมาจาก Minimum, Target, และ Outrageous
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการมีสุขภาพดีด้วยการออกกำลังกาย เป้าหมายการออกกำลังกายขั้นต่ำที่สุด (Minimum)ควรเป็นเท่าไหร่ ตั้งแบบที่คิดว่าใครๆก็ทำได้ ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรพิเศษ สมมติว่า 5 นาที
แล้วเป้าหมายที่ควรจะเป็น (Target) ซึ่งเป็นเป้าหมายที่คนทั่วไปตั้งเพื่อให้มีสุขภาพดี ซึ่งเราก็คงเคยได้ยินในทีวีบ่อยๆว่า ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 20 นาทีต่อครั้ง 3 ครั้งต่อสัปดาห์
แล้วเป้าหมายอะไรที่ถ้าเราทำได้แล้ว จะดีสุดๆ (Outrageous) เช่น ถ้าออกกำลังได้ทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง ร่างกายต้องฟิตสุดๆแน่นอน
ถามว่าเมื่อได้เป้าหมายทั้ง 3 แล้ว ทำยังไงต่อ…
คำตอบก็คือ ทำให้ได้อย่างน้อยตามเป้าหมายที่น้อยที่สุดที่ตั้งเอาไว้
เป้าหมายแรกสำคัญที่สุด เพราะจะช่วยให้เราทำสิ่งที่ควรทำ เพราะไม่ยากเกินความสามารถ
ในกรณีนี้คือการออกกำลังกาย คนส่วนใหญ่พอเห็นเป้าหมายว่าต้องออกกำลังกายถึง 20 นาที หลายครั้งก็ท้อ แล้วก็ไม่ทำมันซะเลย
แต่ถ้ามองว่า เอาซะหน่อย 5 นาทีก็ยังดี เพราะไม่ได้นานเท่าไหร่
พอได้ 5 นาที 20 นาทีของเป้าหมายที่ควรจะเป็นก็ไม่ยากอย่างที่คิด
วิธีการตั้งเป้าหมายนี้สามารถใช้ได้กับทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอาหาร การอ่านหนังสือ การทำงาน
สำหรับผมหลังจากที่ลอง มาซักระยะ แล้วรู้สึกว่า MTO ช่วยให้ทำได้ตามเป้าหมายต่างๆได้มากขึ้น
ลองแล้วรู้สึกอย่างไร ก็มาเล่าสู่กันฟังได้นะครับ
หลังจากที่พบว่าหลายๆครั้งที่ชีวิตเราดำเนินไปแบบไม่มีสติ ก็พยายามคิดว่าจะทำอย่างไรให้มีสติมากขึ้น…
แล้ววันนี้ก็ไปอ่านเจอบทความอันนึงเรื่อง The Power of Pause ซึ่งพูดถึงความสำคัญของการหยุดคิดก่อนตอบ
ซึ่งก็ตรงกับเรื่องต้องการจะแก้พอดี
หลักการเค้าง่ายมากๆ…
แค่เมื่อมีคนมาถาม หรือขอร้องให้ทำอะไร ให้เราหยุด แค่ 1-2 วินาที ก่อนที่จะตอบ
เพื่อให้เราแน่ใจว่านั่นเป็นสิ่งที่เราต้องการ หรือสามารถที่จะรับปากได้จริงๆ
และที่สำคัญ
เพื่อให้แน่ใจว่าเราตัดสินใจจริงๆ
ฝากประชาสัมพันธ์โครงการอาสาสมัครดีๆจากพี่นุ้งนิ้ง ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจที่จะทำประโยชน์ให้กับสังคม
โดยเริ่มจากกลุ่มคนเล็กๆที่คิดเหมือนกัน แล้วก็ติดต่อ จัดโครงการเอง โดยไม่จำเป็นต้องรอหาเงินสนับสนุนจากข้างนอก
ผมได้มีโอกาสไปร่วมค่ายสร้างบ้านดินที่ระยองเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว แล้วรู้สึกประทับใจมาก
เพราะเป็นกลุ่มเล็กๆที่มีจุดร่วมเหมือนกันในการอยากทำอะไรดีๆให้สังคมเท่าที่จะทำได้ และยังรู้สึกได้ถึงมิตรภาพ และความจริงใจของผู้จัดและเพื่อนๆที่ไป
เมื่อพี่นุ้งนิ้งบอกว่าจะมีการจัดกิจกรรมดีๆอีกเลยอยากบอกให้เพื่อนๆได้ทราบด้วย
ถ้าสนใจก็ติดต่อพี่นุ้งนิ้งได้ตามรายละเอียดด้านล่างนะครับ
ชัช
_________________________________________________________
โครงการ กระปุกความดี สู่วิถีชุมชน ๒ (more…)
วันนี้ได้ฟัง Paul Kiely ซึ่งเป็น Director ที่ทำงานกับบริษัทมาแล้วกว่า 30 ปี พูดให้ผู้จัดการที่โรงงานฟัง
เรื่องการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Communication) ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับทุกคน โดยเฉพาะถ้าไม่อยากพูดแล้วพูดอีก หรือ พูดแล้วคนฟังเข้าใจผิดแล้วทำอีกอย่าง
แม้จะใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียว แต่ก็เป็นหนึ่งชั่วโมงที่ประทับใจมาก
ปกติเป็นคนที่ชอบสังเกตคนที่พูด หรือสื่อสารเก่งๆ ในฐานะที่เป็นคนสอนเรื่อง Effective Presentation อยู่แล้วด้วย
Paul เป็นคนหนึ่งที่สามารถใช้เป็นแบบอย่างที่ดีมากๆคนหนึ่ง
เค้าใช้เทคนิคต่างๆเกี่ยวกับการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น การสบตา การโต้ตอบกับคนฟัง การทำให้ทุกคนผ่อนคลาย ไม่เกร็ง การตอบคำถามที่ตรงประเด็น อารมณ์ขัน และอื่นๆอีกมากมาย
จริงๆวันนี้แค่สังเกต Paul พูดเฉยๆ โดยไม่ต้องสนใจเนื้อหาก็ถือว่าเกินคุ้มกับเวลา 1 ชั่วโมงแล้ว
ช่วงแรกคุยเรื่องอุปสรรคในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็มีมากมาย เช่น ภาษา วัฒนธรรมที่ต่างกัน การเข้าใจว่าอีกฝ่ายเข้าใจ ฯลฯ
แล้วก็แนะนำเทคนิคบางข้อที่จะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้แก่…
- Listen ฟัง ฟังให้รู้ว่าคนพูดจะสื่ออะไร เคยเจอมั้ยว่าคนพูดเตรียมข้อมูลมาอย่างดี ทุกอย่างดีหมด แต่ไม่มีคนฟัง ถ้าไม่แย่งเค้าพูด ก็ทำอย่างอื่น ใจลอยไปที่อื่น ง่ายๆอย่างนั้นเลย ถ้าไม่ฟังแล้วจะสื่อสารกันรู้เรื่องได้ยังไง
- Clear (not General) การสื่อสารที่ดีต้องชัดเจน และมีรายละเอียดอย่างเพียงพอ เช่น บอกว่าผมจะทำงานให้ดี กับ ผมจะทำ project xxx ภายใน x เดือน ซึ่งจะช่วยบริษัทประหยัดได้ xxx บาท อย่างไหนคนฟังจะเข้าใจมากกว่ากัน
- Transparency = Trust ถ้าเรารู้สึกว่าคนที่เราคุยด้วยปิดบังอะไรเราอยู่ เราคงจะไม่สามารถเปิดหรือวางใจกับคนนั้นได้เต็มที่ ฉันใดก็ฉันนั้น การที่เราโปร่งใส ไม่ปิดบังจะช่วยให้คู่สนทนาเชื่อใจ และสบายใจเวลาคุยกับเรา ซึ่งนำไปสู่การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในที่สุด
- Passion = Engagement ถ้ารู้สึกไม่มั่นใจเวลาไปพูดกับคนมากๆ การพูดในเรื่องที่เราสนใจ และรู้จริงจะช่วยให้เรามั่นใจ และช่วยให้การพูดนั้นน่าสนใจ เพราะคนฟังจะรับรู้ได้ถึงพลังที่เราถ่ายทอดออกไป และจะช่วยคนฟังอยากติดตาม และมีส่วนร่วม
- Caring, Being polite, and Compassion are wonderful, not the end point น่าเสียดายที่หัวข้อนี้เวลาไม่พอเลยไม่ได้พูด เนื่องจากตอนหลังมีคำถามหลายข้อจนเวลาหมดก่อน :P
ฟังเสร็จแล้วมีพลังที่จะปรับปรุงตัวเองต่ออีกเยอะเลย… ^__^