กว่าจะเรียนจบก็สายไปแล้ว

From all around / 14 September 2014 / 50

Cheerful students throwing graduation caps in the Air

ไม่แน่ใจว่านิสิต นักศึกษาที่เพิ่งจบตอนนี้หางานยาก มากน้อยแค่ไหน?

วันก่อนผมทานข้าวกับน้องคนสิงคโปร์คนหนึ่งที่เพิ่งจบปริญญาตรี และมาร่วมทีมในฐานะพนักงานสัญญาจ้าง เลยชวนคุยเรื่องสถานการณ์ของเด็กจบใหม่ที่นี่

สิ่งที่ผมได้ยิน ถือว่าสถานการณ์ของบัณฑิตใหม่ที่สิงคโปร์ไม่ค่อยดีนัก

  • บัณฑิตใหม่ใช้เวลาหางานเฉลี่ย 6-8 เดือนก่อนจะได้งานแรก ซึ่งเป็นทุกสาขา รวมถึงมหาวิทยาลัยชื่อดัง
  • ตำแหน่งงานที่ไม่ต้องการประสบการณ์ก็มีแต่งานด้านบริการ ใน fast food chain ซึ่งเด็กมัธยมก็ทำได้
  • บริษัทส่วนใหญ่ต้องการคนที่ประสบการณ์ 5-8 ปี
  • ตำแหน่งที่เปิดสำหร้บคนที่ประสบการณ์ไม่พอจะเป็นในรูป พนักงานสัญญาจ้าง 6 เดือน – 2 ปี
  • พ่อแม่เริ่มกดดัน เด็กก็เริ่มเครียดหลังจากจบแล้วหางานไม่ได้
  • สุดท้ายหลายคนหางานไม่ได้ เลยตัดสินใจเรียนต่อโท

ผมมองว่าภาพนี้จะเหมือน time machine เล็กๆที่จะสะท้อนสภาพการจ้างงานของบัณฑิตใหม่ของไทยในอนาคตอันใกล้

อย่าลืมว่าเด็กในสิงคโปร์ส่วนใหญ่พูดได้คล่องทั้งอังกฤษ และภาษาท้องถิ่น (จีน, มาเลย์, ฯลฯ) ยังมีปัญหาในการหางาน

เชื่อว่าการแข่งขันหลังเปิด AEC โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติคงแข่งขันกันมันกว่าตอนนี้แน่นอน

ภาพตลาดแรงงานมีฝีมือที่เห็นตอนนี้คือ Expat จากยุโรปมาแย่งงานระดับกลางถึงสูงของสิงคโปร์ เพราะเศรษฐกิจของยุโรปก็ไม่ค่อยดี

แน่นอนว่าคนสิงคโปร์ก็โวย ให้รัฐบาลดูแลงานให้คนในประเทศ แม้รัฐบาลจะออกมาตรการมาช่วยบ้าง แต่สุดท้ายก็อยู่ที่ความสามารถ

เพราะรัฐบาลต้องการให้สิงคโปร์เป็น Talent Hub ของเอเชีย เพื่อใช้ดึงนักลงทุนอีกที

เพราะฉะนั้น ผมเชื่อว่าอีกไม่นานคนสิงคโปร์คงไปแย่งงานคนไทยได้อีกไม่น้อย ด้วยความได้เปรียบทางภาษา

ถ้าจะให้แนะนำน้องๆคนไทยที่กำลังเรียนอยู่ คงอยากให้เน้น 3 เรื่อง

  1. ภาษาอังกฤษ อย่ามองข้ามด้วยประการทั้งปวง ที่ผ่านมาคนได้ภาษาอังกฤษถือเป็นข้อได้เปรียบ แต่ตอนนี้และต่อไป ภาษาอังกฤษ ถือเป็นทักษะพื้นฐานที่ต้องได้ ถ้าไม่มีจะเสียเปรียบมาก เพราะตอนนี้หลายคนมองถึงภาษาที่ 3 และ 4 เพื่อสร้างความได้เปรียบกันแล้ว
  2. การฝึกงาน ที่ผ่านมา หลายคนคงฝึกงานตอนปี 3 เพราะเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร ซึ่งอาจไม่พอ ถ้าเป็นไปได้หาที่ฝึกงานตั้งแต่ปี 1 จะเยี่ยมมาก แต่ก็ควรตั้งเป้าหมายในการฝึกงานที่เรียนรู้การทำงาน และเข้าใจธุรกิจ การความสัมพันธ์ระหว่างแผนก ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์ของตัวเองว่าจบแล้วอยากทำงานในธุรกิจประเภทไหน และด้านอะไร ซึ่งแน่นอนว่าลำบาก และเหนื่อยกว่าการหาที่ฝึกงาน เพื่อเก็บชั่วโมง แล้วนั่งเล่นคอม อ่านหนังสือพิมพ์ฆ่าเวลาให้หมดวัน แต่ไม่ได้ทำงานจริงๆ
  3. การทำกิจกรรมระหว่างเรียน สิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยที่สำคัญเวลาสัมภาษณ์งาน ที่จะบอกว่าเราเข้าใจการทำงาน ผ่านกิจกรรมที่เคยทำ ซึ่งดีกว่าเกรดสวยแต่ไม่เคยทำกิจกรรมมาก่อนแน่นอน

4 ปีในมหาวิทยาลัยไม่ได้เวลานาน ถ้าไม่เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ จบมาอาจเคว้งกับสภาพการแข่งขันในการทำงานจริง และคงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ไม่ได้เตรียมตัวก่อน

โชคดีครับ