คนหนึ่งคนทำอะไรได้มากกว่าที่คิด ถ้าลงมือทำ #IgniteTH
ช่วงหลังๆมานี้มีเพื่อนหลายคนทักว่าหลังๆชัชออกงานบ่อยนะ
จะบอกว่างานที่ไปส่วนใหญ่ก็มีแต่งานแต่งงานเพื่อนๆ ที่แต่งกันแทบอาทิตย์เว้นอาทิตย์นี่แหละ
แล้วก็ไม่ได้เป็นไฮโซที่ออกงานแล้วได้เงิน กลับจะเป็นทางตรงข้ามเสียมากกว่า ^^”
แต่งานที่ผมได้มีโอกาสไปเมื่อวานเป็นงานที่นอกจากจะฟรี (แต่ยังต้องเสียค่าเดินทางเอง)
ยังเป็นงานที่ช่วยจุดประกายไฟ สมกับชื่องานดี (Ignite)
งาน Ignite Thailand ครั้งที่ 2 ที่จัดโดยเครือข่ายพลังบวก โดยครั้งนี้จัดที่หอประชุมใหญ่ จุฬาฯ
ผมเชื่อว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่เราควรได้มีโอกาสเปิดรับมุมมองใหม่ๆ ในด้านบวก เพื่อกลับมาย้อนดูและปรับใช้กับตัวเอง
โดยเฉพาะคนที่อยู่ในโลกของการเร่งรีบตลอดเวลา และสภาพสังคมที่ข่าวหน้าหนึ่งไม่ช่วยจรรโลงใจเท่าไหร่
ทั้ง 21 igniters กับเวลา5 นาที
อาจมีบางท่านที่อยู่เหนือกาลเวลา(5นาที)บ้าง (ฮา)
แต่ละท่านก็มีความต่าง
ต่างทั้งอายุ, ประสบการณ์, เนื้อหา, และวิธีนำเสนอ
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ว่าเป็นจุดร่วมกันของทุกคน คือ
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดเรื่องที่กลั่นมาจากประสบการณ์และชีวิตของแต่ละคน เพื่อให้เชื่อให้พลังของคนหนึ่งคน
ว่าทำได้
และทุกท่านที่พูดเป็น Living proof ของการทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ
สิ่งทึ่หลายๆคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้
หรือได้แต่คิด
…
ขอบคุณที่ช่วยจุดไฟ ให้กับผมและคนฟังทุกคนในหอประชุมเมื่อคืน
ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่เป็นคนที่พร้อมจะทำดี
แต่ติดอยู่ที่ความไม่เชื่อในความสามารถของคนหนึ่งคน
แค่นั้นเอง
…
ขอจบด้วยโฆษณาตัวใหม่ของเครือข่ายพลังบวก ที่ชื่อว่า พลังในตัวคุณ (Power of One) ที่จะตั้งคำถามว่าถึงสิ่งที่จะได้ด้วยคนหนึ่งคน
ช่วงเดือนที่ผ่านมาได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในการจัดงานใหญ่ของบริษัท2งานติดกัน
ทำให้เห็นมุมมองของงานในอีกแบบนึง
จากที่ปกติเป็นคนเข้าร่วมงาน ถึงเวลาก็มา ทำกิจกรรมเฉยๆ ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก
ได้รู้สิ่งที่คนมาร่วมงานไม่มีทางรู้เลยว่าที่มา หรือ รายละเอียดแต่ละเรื่องต้องผ่านการคุย การแก้ มาไม่รู้กี่รอบ แม้สุดท้ายจะไม่ได้ใช้เลยก็ตาม…
ก่อนหน้านี้คิดว่าตัวเองเข้าใจคนที่เตรียมงาน อยู่เบื้องหลังพอสมควรเพราะก็เคยทำกิจกรรม เป็นคนเตรียมงานแบบนี้มาบ้างตอนเรียน
แต่พอได้ทำงานที่มีความคาดหวัง และแรงกดดันที่พลาดไม่ได้
ความเครียดและความกังวลก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
ผมเชื่อว่าสุดท้ายคนที่เตรียมงานทุกคน หวังว่าเตรียมงานเหนื่อยแค่ไหนไม่เป็นไร ขอให้งานออกมาราบรื่น และดีทึ่สุด
ก็พอใจแล้ว
.
ดังนั้นถ้าคุณได้มีโอกาสไปร่วมงานไหนแล้ว เกิดข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ไม่ราบรื่นบ้าง
ก็ช่วยใจเย็นๆนิดนึง
เพราะไม่ว่าจะเตรียมงานมาดีแค่ไหน วันจริงมักจะมีตัวแปรที่คาดไม่ถึงเข้ามาให้ตกใจเล่นอยู่เสมอ
ไม่มีใครอยากให้งานสะดุดหรอก
.
จากเรื่องนี้ทำให้รู้ว่า การพยายามเข้าใจคนอื่นโดยการเอาใจมาใส่ใจเรา (put yourself in other’s shoes)
ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเข้าใจเค้าได้ทั้งหมด
จนกว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์นั้นเอง
.
คงเหมือนที่หลายๆคนที่พูดเหมือนกันหลังจากมีลูกใหม่ๆสินะ
ว่าไม่เคยรู้มาก่อนว่าการเป็นพ่อ/แม่คนมีความลำบากแค่ไหน
และรักท่านเพิ่มจากเดิมไม่รู้เท่าไหร่… :)
(โยงไปได้นะเรา :P)